หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ประวัติของบัตรประชาชน มีมาตั้งแต่สมัยใด สาเหตุที่เป็นต้นกำเนิดของบัตรประชาชน


ตอบ คำตอบวันนี้ได้ข้อมูลจากนายสุริยะ วิริยะสวัสดิ์ ผู้อำนวยการส่วนบัตรประจำตัวประชาชน กรมการปกครอง

      บัตรประชาชนเป็นหลักฐานยืนยันตัวบุคคล มีแนวคิดมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยถึงรัตนโกสินทร์ตอนต้น เนื่องจากยุคนั้นประชาชนซึ่งมีฐานะไพร่ประมาณ 80-90% เป็นทรัพยากรที่มีค่ายิ่ง เพราะเป็นกำลังหลักในด้านเศรษฐกิจ การศึกสงคราม เป็นแรงงานในการก่อสร้าง ฯลฯ ทางราชการจึงต้องมีการสักบอกสังกัดมูลนายไว้ที่ข้อมือ เมื่อจะเดินทางไปท้องที่อื่นจะต้องขออนุญาตจากเจ้านาย การสักข้อมือจึงเป็นวิธีการที่ใช้ในการยืนยันตัวบุคคลของคนไทยมาตั้งแต่อดีต

      กระทั่งสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงได้ยกเลิกไป ต่อมาสมัยรัชกาลที่ 5 ที่มีการยกเลิกระบบทาสและไพร่ ราษฎรที่ต้องการเดินทางไปท้องที่อื่นที่ไม่ใช่ท้องถิ่นที่อยู่ของตนเองจะ ต้องไปขอหนังสือเดินทางจากอำเภอ เพื่อใช้เป็นเอกสารรับรองผู้ถือว่าเป็นใคร มาจากแห่งหนตำบลใด โดยหลักฐานอยู่ในพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่พระพุทธศักราช 2457 มาตรา 90 บัญญัติว่า "กรมการอำเภอเป็นพนักงานทำหนังสือเดินทางสำหรับราษฎรในท้องที่อำเภอนั้น จะนำไปทำมาค้าขายในท้องที่อื่น"


      ในปีพ.ศ.2486 รัฐบาลสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ออกกฎหมายบัตรประจำตัวประชาชนขึ้นมาบังคับใช้เป็นการเฉพาะครั้งแรก เรียกว่า "พระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน พุทธศักราช 2486" บังคับให้ประชาชนที่มีภูมิลำเนาในจังหวัดพระนครและจังหวัดธนบุรี จัดทำบัตรประจำตัวประชาชนเป็นครั้งแรก มีลักษณะเป็นบัตรรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า พับ 4 ตอน สีพื้นตัวบัตรเป็นสีฟ้าอมเขียว และมีลายเทพพนมตลอดเล่ม ภายในเล่มมีข้อมูลของผู้ถือบัตร

      ปี 2505 มีการออกพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน โดยปรับปรุงบัตรให้เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า แผ่นเดียวขนาดกว้าง 6 เซนติเมตร ยาว 9 เซนติเมตร ด้านหน้าเป็นรูปครุฑอยู่ตรงกลางพร้อมข้อความ "สำนักบริหารการทะเบียนบัตรประจำตัวประชาชนกระทรวงมหาดไทย" วันที่ออกบัตรและวันที่บัตรหมดอายุ ด้านหลังจะเป็นรายการข้อมูลของผู้ถือบัตร มีภาพถ่ายขาว-ดำที่มีเส้นบอกส่วนสูงเป็นนิ้วฟุตเลขและตัวอักษรแสดงอำเภอที่ ออกบัตร และลายมือชื่อเจ้าพนักงานออกบัตร เป็นต้น ปี 2531 จึงเปลี่ยนเป็นรูปสีธรรมชาติ

กระบวนการจัดทำบัตรที่ผ่านมาใช้มือเป็นหลัก บัตรรุ่นแรกทำที่สำนักทะเบียนอำเภอ และนับแต่ปี 2505 จัดทำที่ส่วนกลาง คือสำนักทะเบียนบัตรรวบรวมข้อมูลและรูปถ่ายผู้ถือบัตรส่งให้ส่วนกลางผลิต เมื่อผลิตเสร็จจึงส่งกลับไปให้สำนักทะเบียนแจกจ่ายให้ประชาชน ใช้เวลาประมาณ 3 เดือน

ปี 2539 มีการทำบัตรแถบแม่เหล็ก ซึ่งทำด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ผลิตเองที่สำนักทะเบียน ประชาชนรอรับบัตรได้เลยใช้เวลาประมาณ 15 นาที กระทั่งปี 2547 จึงหันมาใช้บัตรอเนกประสงค์ หรือสมาร์ท การ์ดแทน เนื่องจากจัดเก็บข้อมูลได้จำนวนมากและป้องกันการปลอมแปลงได้ 100% แต่ตอนนี้ระงับชั่วคราวกลับมาใช้บัตรแถบแม่เหล็กก่อน เนื่องจากวัสดุที่ใช้ทำสมาร์ทการ์ดหมดต้องรอการประมูลและจัดซื้อใหม่

ที่มาของข่าว คอลัมน์ รู้ไปโม้ด โดยน้าชาติ ประชาชื่น ฃ หนังสือพิมพ์ มติชน


บัตรรุ่นแรก มีลักษณะคล้ายแผ่นพับขนาดเล็ก 4 ตอน มีทั้งหมด 8 หน้า
เริ่มใช้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2486 จนถึงสิ้นปี พ.ศ.2505

ออกให้เฉพาะประชาชนในพื้นที่จังหวัดกรุงเทพและธนบุรี (กรุงเทพมหานครในปัจจุบัน)

บัตรรุ่นที่ 2 มีลักษณะสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดพกพาติดตัวได้สะดวก มี 2 ด้าน
รูปถ่ายผู้ถือบัตรเป็นรูปขาว-ดำ
พิมพ์รายการผู้ถือบัตรด้วยเครื่องพิมพ์ดีดธรรมดา และเคลือบด้วยพลาสติกใส

บัตรรุ่นที่ 3 มีลักษณะคล้ายกับบัตรรุ่นที่ 2
จุด แตกต่างคือรูปถ่ายผู้ถือบัตรเป็นรูปสีธรรมชาติ พิมพ์รายการผู้ถือบัตรด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ และเคลือบด้วยวัสดุป้องกันการปลอมแปลงชนิดพิเศษ

บัตรรุ่นที่ 4 มีลักษณะคล้ายบัตรเครดิตมีแถบแม่เหล็กบันทึกข้อมูลเจ้าของบัตร
และผลิตด้วยคอมพิวเตอร์ทั้งระบบ รายการใหม่ที่เพิ่มเติมขึ้นมาในบัตรรุ่นนี้คือ การระบุหมู่โลหิต

บัตรรุ่นที่ 5 ที่ใช้งานกันในปัจจุบัน
เป็นบัตรประจำตัวประชาชนแบบอเนกประสงค์ (Smart Card)



วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

กว่าจะเป็น อับราฮับ ลิงคอล์น Abraham Lincoln

บทความนี้อาจจะเป็นกำลังใจให้คนที่กำลังทอถอยอยู่
ทุกอย่างไม่ได้มาอย่างง่ายได้อย่างที่เราหวังไว้แต่สักวันหนึ่งจะต้องเป็นของเราเส้นทางแห่งความสำเร็จไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบหากแต่มีก้านกุหลาบที่มีหนามแหลมคมซ้อนอยู่
กล่าวที่เขาจะได้ยิ่งใหญ่กว่าที่เขาจะได้เป็นอย่างที่ฝัน

                     จากเส้นทางของนักล้มผู้ยิ่งใหญที่จะกล่าวด้านล่างจะเห็นว่า หากเป็นคนธรรมดาอย่างเรา ๆ คง "ล้มเลิก" แผนการไต่บันไดความฝันทางการเมืองไปแล้ว
แต่สำหรับคนที่มี "หัวใจหลอมเพรช" อย่างอับราฮัม ลิงคอล์น นั้นเขามองว่า "ความล้มเหลวคือ นั่งร้าน
แห่งความสำเร็จ" และทั้ง"ความสมหวังและผิดหวัง ต่างก็เป็น องค์ประกอบของการประสบความสำเร็จเช่นเดียวกัน"

เราลองมาดูกันว่า ผู้เชี่ยวชาญในการล้มอย่างลิงคอล์นนั้น เขา"ล้ม"มาแล้วกี่ครั้ง

     ค.ศ. 1816  ครอบครัวของเขาย้ายบ้านใหม่ เขาต้องทำงานช่วยครอบครัวแต่ยังเด็ก
     ค.ศ. 1818  แม่ของเขาเสียชีวิต
     ค.ศ. 1831  ล้มเหลวทางธุรกิจ
     ค.ศ. 1832  สมัครเป็นวุฒิสมาชิก - แพ้
     ค.ศ. 1832  ตกงาน ต้องการเขาโรงเรียนกฏหมาย แต่ไม่สำเร็จ
     ค.ศ. 1833  ยืมเงินเพื่อนมาทำธุรกิจ แต่ล้มละลายในตอนสิ้นปี เขาต้องทำงานใช้หนี้เป็นเวลานาน  
                     ถึง 17 ปี
     ค.ศ. 1834  สมัครวุฒิสมาชิกรัฐอีกครั้ง - ชนะ
     ค.ศ. 1835  หมั้นและเตรียมแต่งงาน แต่คนรักเสียชีวิตเสียก่อน หัวใจของเขาแตกสลาย
     ค.ศ. 1836  เกิดอาการประสาทและต้องพักเป็นเวลา 6 เดือน
     ค.ศ. 1838  พยายามชิงตำแหน่งโฆษกวุฒิสภารัฐ - แพ้
     ค.ศ. 1840  ลงสมัครเลือกตั้ง - แพ้
     ค.ศ. 1843  สมัครสมาชิกคองเกรส - แพ้
     ค.ศ. 1846  สมัครเป็นสมาชิกคองเกรสอีกครั้ง คราวนี้ประสบความสำเร็จได้ไปวอชิงตันและได้งานดี
     ค.ศ. 1848  ลงสมัครเลือกตั้งเป็นสมาชิกคองเกรสอีกครั้ง - แพ้
     ค.ศ. 1849  สมัครงานในตำแหน่งเจ้หน้ที่ดูแลที่ดินที่บ้านเกิดของเขา - ถูกปฏิเสธ
     ค.ศ. 1854  สมัครเป็นวุฒิสมาชิกของสหรัฐอเมริกา - แพ้
     ค.ศ. 1856  พยายามให้ได้รับการเสนอชื่อเป็นรองประธานาธิบดีในการประชุมพรรค ได้เสียงสนับ
                     สนุนน้อยกว่า 100 เสียง
     ค.ศ. 1858  สมัครเป็นวุฒิสมาชิกประเทศอีกครั้ง - ล้มเหลวตามเคย
     ค.ศ. 1860  เป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา

                    คนเราอย่ามองเห็นแต่ความสำเร็จแต่ของคนอื่น แต่ต้องมองว่าเขาทำสำเร็จได้อย่างไร
กว่าที่เขาจะสำเร็จมายืนอยู่ต้องจุดนั้นได้เขาจะต้องผ่านอะไรมาบ้าง ต้องผ่านความล้มเหลว พ่ายแพ้มาอีกครั้ง เป็นกำลังใจให้กับทุกคนนะค่ะ

ขอบคุณที่มา : หนังสือ HEROES คนดลใจ จาก ท่าน ว. วชิรเมธี