หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ประวัติของบัตรประชาชน มีมาตั้งแต่สมัยใด สาเหตุที่เป็นต้นกำเนิดของบัตรประชาชน


ตอบ คำตอบวันนี้ได้ข้อมูลจากนายสุริยะ วิริยะสวัสดิ์ ผู้อำนวยการส่วนบัตรประจำตัวประชาชน กรมการปกครอง

      บัตรประชาชนเป็นหลักฐานยืนยันตัวบุคคล มีแนวคิดมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยถึงรัตนโกสินทร์ตอนต้น เนื่องจากยุคนั้นประชาชนซึ่งมีฐานะไพร่ประมาณ 80-90% เป็นทรัพยากรที่มีค่ายิ่ง เพราะเป็นกำลังหลักในด้านเศรษฐกิจ การศึกสงคราม เป็นแรงงานในการก่อสร้าง ฯลฯ ทางราชการจึงต้องมีการสักบอกสังกัดมูลนายไว้ที่ข้อมือ เมื่อจะเดินทางไปท้องที่อื่นจะต้องขออนุญาตจากเจ้านาย การสักข้อมือจึงเป็นวิธีการที่ใช้ในการยืนยันตัวบุคคลของคนไทยมาตั้งแต่อดีต

      กระทั่งสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงได้ยกเลิกไป ต่อมาสมัยรัชกาลที่ 5 ที่มีการยกเลิกระบบทาสและไพร่ ราษฎรที่ต้องการเดินทางไปท้องที่อื่นที่ไม่ใช่ท้องถิ่นที่อยู่ของตนเองจะ ต้องไปขอหนังสือเดินทางจากอำเภอ เพื่อใช้เป็นเอกสารรับรองผู้ถือว่าเป็นใคร มาจากแห่งหนตำบลใด โดยหลักฐานอยู่ในพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่พระพุทธศักราช 2457 มาตรา 90 บัญญัติว่า "กรมการอำเภอเป็นพนักงานทำหนังสือเดินทางสำหรับราษฎรในท้องที่อำเภอนั้น จะนำไปทำมาค้าขายในท้องที่อื่น"


      ในปีพ.ศ.2486 รัฐบาลสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ออกกฎหมายบัตรประจำตัวประชาชนขึ้นมาบังคับใช้เป็นการเฉพาะครั้งแรก เรียกว่า "พระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน พุทธศักราช 2486" บังคับให้ประชาชนที่มีภูมิลำเนาในจังหวัดพระนครและจังหวัดธนบุรี จัดทำบัตรประจำตัวประชาชนเป็นครั้งแรก มีลักษณะเป็นบัตรรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า พับ 4 ตอน สีพื้นตัวบัตรเป็นสีฟ้าอมเขียว และมีลายเทพพนมตลอดเล่ม ภายในเล่มมีข้อมูลของผู้ถือบัตร

      ปี 2505 มีการออกพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน โดยปรับปรุงบัตรให้เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า แผ่นเดียวขนาดกว้าง 6 เซนติเมตร ยาว 9 เซนติเมตร ด้านหน้าเป็นรูปครุฑอยู่ตรงกลางพร้อมข้อความ "สำนักบริหารการทะเบียนบัตรประจำตัวประชาชนกระทรวงมหาดไทย" วันที่ออกบัตรและวันที่บัตรหมดอายุ ด้านหลังจะเป็นรายการข้อมูลของผู้ถือบัตร มีภาพถ่ายขาว-ดำที่มีเส้นบอกส่วนสูงเป็นนิ้วฟุตเลขและตัวอักษรแสดงอำเภอที่ ออกบัตร และลายมือชื่อเจ้าพนักงานออกบัตร เป็นต้น ปี 2531 จึงเปลี่ยนเป็นรูปสีธรรมชาติ

กระบวนการจัดทำบัตรที่ผ่านมาใช้มือเป็นหลัก บัตรรุ่นแรกทำที่สำนักทะเบียนอำเภอ และนับแต่ปี 2505 จัดทำที่ส่วนกลาง คือสำนักทะเบียนบัตรรวบรวมข้อมูลและรูปถ่ายผู้ถือบัตรส่งให้ส่วนกลางผลิต เมื่อผลิตเสร็จจึงส่งกลับไปให้สำนักทะเบียนแจกจ่ายให้ประชาชน ใช้เวลาประมาณ 3 เดือน

ปี 2539 มีการทำบัตรแถบแม่เหล็ก ซึ่งทำด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ผลิตเองที่สำนักทะเบียน ประชาชนรอรับบัตรได้เลยใช้เวลาประมาณ 15 นาที กระทั่งปี 2547 จึงหันมาใช้บัตรอเนกประสงค์ หรือสมาร์ท การ์ดแทน เนื่องจากจัดเก็บข้อมูลได้จำนวนมากและป้องกันการปลอมแปลงได้ 100% แต่ตอนนี้ระงับชั่วคราวกลับมาใช้บัตรแถบแม่เหล็กก่อน เนื่องจากวัสดุที่ใช้ทำสมาร์ทการ์ดหมดต้องรอการประมูลและจัดซื้อใหม่

ที่มาของข่าว คอลัมน์ รู้ไปโม้ด โดยน้าชาติ ประชาชื่น ฃ หนังสือพิมพ์ มติชน


บัตรรุ่นแรก มีลักษณะคล้ายแผ่นพับขนาดเล็ก 4 ตอน มีทั้งหมด 8 หน้า
เริ่มใช้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2486 จนถึงสิ้นปี พ.ศ.2505

ออกให้เฉพาะประชาชนในพื้นที่จังหวัดกรุงเทพและธนบุรี (กรุงเทพมหานครในปัจจุบัน)

บัตรรุ่นที่ 2 มีลักษณะสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดพกพาติดตัวได้สะดวก มี 2 ด้าน
รูปถ่ายผู้ถือบัตรเป็นรูปขาว-ดำ
พิมพ์รายการผู้ถือบัตรด้วยเครื่องพิมพ์ดีดธรรมดา และเคลือบด้วยพลาสติกใส

บัตรรุ่นที่ 3 มีลักษณะคล้ายกับบัตรรุ่นที่ 2
จุด แตกต่างคือรูปถ่ายผู้ถือบัตรเป็นรูปสีธรรมชาติ พิมพ์รายการผู้ถือบัตรด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ และเคลือบด้วยวัสดุป้องกันการปลอมแปลงชนิดพิเศษ

บัตรรุ่นที่ 4 มีลักษณะคล้ายบัตรเครดิตมีแถบแม่เหล็กบันทึกข้อมูลเจ้าของบัตร
และผลิตด้วยคอมพิวเตอร์ทั้งระบบ รายการใหม่ที่เพิ่มเติมขึ้นมาในบัตรรุ่นนี้คือ การระบุหมู่โลหิต

บัตรรุ่นที่ 5 ที่ใช้งานกันในปัจจุบัน
เป็นบัตรประจำตัวประชาชนแบบอเนกประสงค์ (Smart Card)



วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

กว่าจะเป็น อับราฮับ ลิงคอล์น Abraham Lincoln

บทความนี้อาจจะเป็นกำลังใจให้คนที่กำลังทอถอยอยู่
ทุกอย่างไม่ได้มาอย่างง่ายได้อย่างที่เราหวังไว้แต่สักวันหนึ่งจะต้องเป็นของเราเส้นทางแห่งความสำเร็จไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบหากแต่มีก้านกุหลาบที่มีหนามแหลมคมซ้อนอยู่
กล่าวที่เขาจะได้ยิ่งใหญ่กว่าที่เขาจะได้เป็นอย่างที่ฝัน

                     จากเส้นทางของนักล้มผู้ยิ่งใหญที่จะกล่าวด้านล่างจะเห็นว่า หากเป็นคนธรรมดาอย่างเรา ๆ คง "ล้มเลิก" แผนการไต่บันไดความฝันทางการเมืองไปแล้ว
แต่สำหรับคนที่มี "หัวใจหลอมเพรช" อย่างอับราฮัม ลิงคอล์น นั้นเขามองว่า "ความล้มเหลวคือ นั่งร้าน
แห่งความสำเร็จ" และทั้ง"ความสมหวังและผิดหวัง ต่างก็เป็น องค์ประกอบของการประสบความสำเร็จเช่นเดียวกัน"

เราลองมาดูกันว่า ผู้เชี่ยวชาญในการล้มอย่างลิงคอล์นนั้น เขา"ล้ม"มาแล้วกี่ครั้ง

     ค.ศ. 1816  ครอบครัวของเขาย้ายบ้านใหม่ เขาต้องทำงานช่วยครอบครัวแต่ยังเด็ก
     ค.ศ. 1818  แม่ของเขาเสียชีวิต
     ค.ศ. 1831  ล้มเหลวทางธุรกิจ
     ค.ศ. 1832  สมัครเป็นวุฒิสมาชิก - แพ้
     ค.ศ. 1832  ตกงาน ต้องการเขาโรงเรียนกฏหมาย แต่ไม่สำเร็จ
     ค.ศ. 1833  ยืมเงินเพื่อนมาทำธุรกิจ แต่ล้มละลายในตอนสิ้นปี เขาต้องทำงานใช้หนี้เป็นเวลานาน  
                     ถึง 17 ปี
     ค.ศ. 1834  สมัครวุฒิสมาชิกรัฐอีกครั้ง - ชนะ
     ค.ศ. 1835  หมั้นและเตรียมแต่งงาน แต่คนรักเสียชีวิตเสียก่อน หัวใจของเขาแตกสลาย
     ค.ศ. 1836  เกิดอาการประสาทและต้องพักเป็นเวลา 6 เดือน
     ค.ศ. 1838  พยายามชิงตำแหน่งโฆษกวุฒิสภารัฐ - แพ้
     ค.ศ. 1840  ลงสมัครเลือกตั้ง - แพ้
     ค.ศ. 1843  สมัครสมาชิกคองเกรส - แพ้
     ค.ศ. 1846  สมัครเป็นสมาชิกคองเกรสอีกครั้ง คราวนี้ประสบความสำเร็จได้ไปวอชิงตันและได้งานดี
     ค.ศ. 1848  ลงสมัครเลือกตั้งเป็นสมาชิกคองเกรสอีกครั้ง - แพ้
     ค.ศ. 1849  สมัครงานในตำแหน่งเจ้หน้ที่ดูแลที่ดินที่บ้านเกิดของเขา - ถูกปฏิเสธ
     ค.ศ. 1854  สมัครเป็นวุฒิสมาชิกของสหรัฐอเมริกา - แพ้
     ค.ศ. 1856  พยายามให้ได้รับการเสนอชื่อเป็นรองประธานาธิบดีในการประชุมพรรค ได้เสียงสนับ
                     สนุนน้อยกว่า 100 เสียง
     ค.ศ. 1858  สมัครเป็นวุฒิสมาชิกประเทศอีกครั้ง - ล้มเหลวตามเคย
     ค.ศ. 1860  เป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา

                    คนเราอย่ามองเห็นแต่ความสำเร็จแต่ของคนอื่น แต่ต้องมองว่าเขาทำสำเร็จได้อย่างไร
กว่าที่เขาจะสำเร็จมายืนอยู่ต้องจุดนั้นได้เขาจะต้องผ่านอะไรมาบ้าง ต้องผ่านความล้มเหลว พ่ายแพ้มาอีกครั้ง เป็นกำลังใจให้กับทุกคนนะค่ะ

ขอบคุณที่มา : หนังสือ HEROES คนดลใจ จาก ท่าน ว. วชิรเมธี
    

วันพุธที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เคล็ดลับการแต่งผิวหน้าให้นวลเนียน



วันนี้มาพูดถึงการแต่งหน้ากันดีกว่า
เพราะเราชอบแต่งหน้า
ผู้หญิงส่วนเป็นอย่างที่ว่าคือ
ไก่งามเพราะขนคนงามเพราะแต่ง

คุณอาจคิดว่าผิวของคุณไม่ได้ดูดีสักเท่าไหร่ แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่คุณต้องใช้แป้ง หรือรองพื้นแต่งหน้า หากทว่าการแต่งหน้าให้ดูดีที่สุด มักขึ้นอยู่กับการอวดโฉมผิวสวยอยู่เสมอ          คุณต้องการเป็นเจ้าของผิวสวยผุดผาดสะดุดตา ไม่ว่าผิวของคุณจะมีปัญหามากเช่นไรใช่มั๊ย
         คุณอาจคิดว่าตัวเองฝันไปรึเปล่า ไม่หรอกค่ะ ทุกฝันเป็นจริงได้ หากคุณทราบและปฏิบัติตามขั้นตอน ที่ถูกต้อง เพียงคุณทดลองขั้นตอนง่ายๆที่ลังโคมแนะนำข้างล่างนี้ ก็สามารถสร้างสรรค์ผิวงาม ชวนหลงใหลอวดใครๆ ได้เหมือนกัน

          ขั้นตอนแรก : เลือกสีสันของพื้นที่เหมาะกับคุณ          ขั้นตอนต่อมา : เข้าใจวิธีการลงรองพื้นที่ถูกต้อง          ขั้นตอนสุดท้าย : เลือกแต่งเติมสีสันด้วยแป้งฝุ่นและบลัชออน
  ขั้นที่1 : 
          รองพื้นที่ดีและเหมาะสมสำหรับผิว จะช่วยให้การแต่งหน้าของคุณดูสมบูรณ์แบบที่สุด โดยช่วยให้ผิวของคุณเรียบนวลเนียนสีสวยสม่ำเสมอ ดุจผิวในจินตนาการ การรองพื้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างความงามของผิว ให้ดูสวยใสราวกับไม่ได้แต่งแต้มอะไร และใช้สีที่ดูกลมกลืนใกล้เคียงกับสีผิวจริงของคุณมากที่สุด คุณควรจำไว้เสมอว่า ควรเลือกใช้สีที่อ่อนกว่าโทนสีผิวของคุณสักเล็กน้อย เพื่อให้ผิวหน้าแลดูสว่างสดใสขึ้น

  ขั้นที่2 : 
        ไม่ว่าคุณจะใช้รองพื้นแบบครีมหรือแบบแป้งผสมรองพื้น มีกฎสำคัญ 2 ข้อที่พึงกระทำตามคือ :
       1. ลูบไล้รองพื้นบนใบหน้าโดยเริ่มจากกึ่งกลางของใบหน้าออกไปยังด้านข้างเสมอ
       2. ใส่ใจเป็นพิเศษในบริเวณที่มีมิติต้องการเน้นหรือลดบนใบหน้า เช่นหน้าผาก สันจมูก โหนกแก้ม ขากรรไกร และคาง ซึ่งเนื้อรองพื้นมักจะหนาเกินไปได้ง่ายถ้าไม่ระวังเกลี่ยให้บางสม่ำเสมอพอ เพียง

        ทีนี้ก็มาถึงวิธีลงรองพื้นแบบต่างๆเพื่อผิวสวยนวลเนียนตลอดวัน
      ครีมรองพื้นเนื้อบางเบา         ลักษณะ : เนื้อครีมเกลี่ยให้เรียบเนียนได้ง่ายและติดทนนาน
         วิธีใช้ : แตะแต้มหยดรองพื้นลงบนบริเวณกึ่งกลางใบหน้า และบนโหนกแก้มทั้งสองข้าง แล้ว ลูบไล้เกลี่ยให้เนียนเรียบทั่วบนใบหน้า จะทำให้รองพื้นติดทนนานขึ้น คุณควรระลึกไว้ว่าการเริ่มรองพื้น จากส่วนที่สังเกตเห็นได้ง่ายที่สุดบนใบหน้าก่อน เป็นสิ่งจำเป็นมาก เพราะมันเป็นจุดที่คุณเกิดร่องรอยที่ไม่พึงปรารถนาได้มากที่สุด จึงต้องการการปกปิดที่อำพรางได้แนบเนียน

      ครีมรองพื้นปราศจากน้ำมัน         ลักษณะ : เนื้อครีมบางเบาประกอบด้วยน้ำมันระเหยเพื่อสร้างความเบาสบายแก่ผิว
         วิธีใช้ : เริ่มบริเวณหน้าผากแล้วค่อยลูบไล้ลงมายังกึ่งกลางใบหน้า จบด้วยบริเวณคางแล้วไล้วนขึ้นไปยังบริเวณขากรรไกร คุณควรระลึกไว้ด้วยว่ารองพื้นชนิดนี้มักแห้งเร็ว ดังนั้นคุณควรรีบเกลี่ยให้เร็วที่สุดไม่เช่นนั้นสีผิวอาจดูไม่เรียบเนียนได้ ควรใช้ปริมาณพอเหมาะหยดลงบนฝ่ามือ (ใช้ปั๊มสำหรับ Teint Idole และใช้ปลายนิ้วสำหรับ Eau de Teint)

      แป้งผสมรองพื้น         ลักษณะ : เนื้อแป้งกึ่งครีมนุ่มนวลมีน้ำหนัก ใช้ร่วมกับฟองน้ำ เพื่อการปกปิดแนบเนียน
         วิธีใช้ : เริ่มจากด้านล่างของใบหน้าแล้วเกลี่ยขึ้นสู่ด้านบน ใช้ฟองน้ำอีกด้าน เกลี่ยวนให้เรียบเนียนสม่ำเสมอทั่วใบหน้า จะใช้ฟองน้ำแบบแห้ง เพื่อให้แลดูบางเบาเหมือนการใช้แป้ง หรือเลือกใช้ฟองน้ำจุ่มน้ำเปียกหมาดๆ เพื่อให้ดูเนียนสนิทดั่งรองพื้นก็ได้ เมื่อใช้เสร็จแล้วควรล้างฟองน้ำให้สะอาด และตากให้แห้งทุกครั้ง

  ขั้นตอนสุดท้าย เลือกแต่งเติมสีสันด้วยแป้งฝุ่นและบลัชออน หลังจากเสร็จสิ้นการลงรองพื้น ก็ถึงเวลาของการเติมแป้ง และปัดแก้มให้แลดูเปล่งปลั่งสดใส

      แป้งฝุ่น         เพื่อให้แน่ใจได้ว่าผิวหน้านวลเนียนแลดูงดงามที่สุด จงอย่าใช้สีแป้งใกล้เคียงกับสีของรองพื้นมากนัก เลือกใช้แป้งสีอ่อนบางกว่าเพื่อเผยผิวหน้าสว่างไสวนวลเนียน หรือใช้แป้งสีเข้มกว่าเพื่อเพิ่มความรู้สึกอบอุ่นนุ่มนวล ไม่ว่าคุณจะเลือกทาแบบใด พึงจำไว้ว่าแป้งฝุ่นจะช่วยให้ผิวดูนวลเนียน และทำให้เครื่องสำอางค์ติดทนนานมากขึ้น เพื่อเพิ่มความนวลเนียนไร้ประกายมันใช้ Maquifinish หรือเพิ่มความสดใสเปล่งปลั่งใช้ Pondre Majeur ทั้งแบบแป้งฝุ่นและแป้งฝุ่นอัดแข็ง ทั้งสองชนิดให้ใช้พัฟหรือแปรงแต่งหน้าลูบไล้ จากบริเวณกลางใบหน้าไปยังด้านข้าง ปัดไล้แปรงให้ทั่วใบหน้าอีกครั้งด้วยแปรงขนาดใหญ่ หากคุณต้องการเพิ่มความสดใสเปล่งปลั่งใช้ Poudre Blanc Neige ลูบไล้ทั่วใบหน้าเน้นบริเวณที่ต้องการให้เด่นขึ้น (กึ่งกลางใบหน้า สันจมูก หน้าผาก โหนกแก้ม ใต้คิ้ว) โดยใช้แปรงปัดเบาๆเป็นวง

      บลัชออน          หลังจากใช้แป้งเสร็จเรียบร้อย ก็ถึงเวลาเติมสีสันลงบนพวงแก้ม คุณสามารถเลือกใช้บลัชออนได้จากหลายรูปแบบ โดยเลือกตามผลลัพธ์ที่ต้องการให้เป็น สำหรับบลัชออนสีฝุ่น ทั้งแบบเพิ่มประกายหรือแบบนวลเนียนเป็นธรรมชาติใช้ Blush Subtile ถ้าคุณชอบแบบมีสีสันอ่อนบางมันระยับ ใช้ Pommette ตัดสินใจเลือกไม่ถูกเลยใช่มั๊ยคะ ถ้าอย่างนั้นลองใช้ Blush Duo ที่มีสีสองเนื้อให้คุณเลือกใช้แต่ละแบบ หรือจะผสมสร้างความกลมกลืนให้สีสันได้ดั่งใจ สำหรับคุณที่ต้องการให้แก้มแลดูเป็นธรรมชาติยิ่งขึ้น ปัดแก้มในทิศทางไปและกลับเบา ๆ จากบริเวณหว่างคิ้วไล้ลงไปจนถึงโหนกแก้ม หากต้องการเพิ่มสีสันให้ใบหน้าดูสดใสขึ้น ให้ลูบไล้ลงบนกึ่งกลางโหนกแก้มระหว่างที่คุณยิ้มเล็กน้อย แล้วเกลี่ยไล่สีให้เบาบางลงไปตามสองข้างแก้ม แล้งปัดฝุ่นไล้ทับอีกครั้งเพื่อให้สีสันติดทนนาน.

ขอบคุณที่มานะค่ะ : http://women.thaiza.com

วันอังคารที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2555

กาแฟผสมกับเหล้ากายเป็นยาวิเศษ


หลังจากหายหน้าหายตาไปเนินนานไม่ได้มาเขียนบอกอีกเลยเป็นนานสองนาน
เนื่องจากไปทำงานออกแบบที่เร่งด่วนให้เขา
วันนี้มาคุยกันเรื่องกาแฟอีกดีกว่า


ได้ยาวิเศษสามารถช่วยป้องกันสมองไม่ให้เสียหาย หลังจากเส้นเลือดในสมองตีบได้อย่างมาก เป็นยาที่ทำจากกาแฟผสมกับเหล้า มีฤทธิ์เท่ากับซดกาแฟแก่ๆ ผสมเหล้าเข้าไป 2 ถ้วยซ้อน
 
นักวิจัยของโรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัยเท็กซัส ฮิวส์ตัน เปิดเผยว่า ยาขนานใหม่ที่พบ เป็นส่วนผสมของกาแฟกับเอทานอล อันเป็นแอลกอฮอล์ชนิดหนึ่ง มีสรรพคุณช่วยลดความสูญเสีย ของสมองจากการเป็นอัมพาตเนื่องมาจาก เส้นเลือดสมองตีบลงได้อย่างมาก โดยได้ทดลองใช้รักษาฉีดให้กับคนไข้ อัมพาตทั้งชายหญิงที่อยู่ในวัยอายุเฉลี่ย 71 ปี ไปจำนวน 23 ราย
 
ศาสตราจารย์มาร์ติน บราวน์ กล่าวแจ้งว่า ในการทดลองกับหนู โดยทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองของมัน ขาดลงแบบเดียวกับเมื่อเกิดเป็นอัมพาตเนื่อง มาจากเส้นเลือดสมองตีบในคน เมื่อให้ยาภายในเวลาเกิดอาการใน 3 ชม. ปรากฏว่ายาช่วยลดความสูญเสียของสมองของมันได้มากถึง 80% และจะได้ทำการศึกษาวิจัยต่อไป เพื่อจะได้รู้สรรพคุณของมันในการรักษากับคนมากขึ้น "แต่พบแล้วว่า หากให้กาแฟหรือแอลกอฮอล์โดดๆ อย่างเดียว กลับไม่ได้ผลอย่างใด จะต้องผสมกันจึงจะได้ผล ซึ่งก็จะต้องค้นคว้าหาส่วนผสมที่เหมาะสมต่อไป"
 
เขากล่าวต่อไปว่า ยังอาจไม่ทราบสาเหตุว่ามันมีสรรพคุณรักษาขึ้นอย่างไร แต่ตัวแอลกอฮอล์เองก็มี สรรพคุณทางขยายหลอดเลือดอยู่แล้ว และคาเฟอีนก็มีสรรพคุณช่วยให้อาการของไมเกรนทุเลาลงได้ เพราะมันช่วยให้ เลือดไหลเวียนดีขึ้น นอกจากนี้ มันยังเป็นยาที่ปลอดภัย เพราะก็เห็นกันอยู่ เป็นยาที่เกือบจะทุกคนใช้กันอยู่แล้ว.
 
ขอบคุณที่มาของความรู้ : http://www.samunpai.com/

วันอังคารที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ต้นไม้มงคล ราศีปีเกิด เสริมชะตาชีวิตทั้ง 12 ราศี

พอดีวันนี้ต้องทำงานเกี่ยวกับพวกนี้เลยเอามาให้ดูกัน

มนุษย์มีความเชื่อที่ผูกพันกับต้นไม้มาเป็นเวลาช้านาน เช่น เรื่องต้นไม้มงคล ต้นไม้ต้องห้าม ต้นไม้ที่ปลูกแล้วมีรัก หรือปลูกแล้วไร้รัก เป็นต้น จนถึงปัจจุบันความเชื่อเหล่านี้ก็ยังคงมีอยู่ วันนี้ บ้านไอเดีย มีความเชื่อเกี่ยวกับ ต้นไม้มงคลกับราศีเกิด มาฝากกันค่ะ ราศีไหน ปลูกต้นอะไรแล้วจะเสริมชะตาชีวิตให้ดีขึ้นบ้าง
  • ราศีมังกร  (16 ม.ค.–15 ก.พ.) ไม้มงคล คือ วาสนา โป๊ยเซียน แก้ว  กุหลาบ ไผ่ ราชพฤกษ์ และจำปีทำให้เงินทองไหลมาเทมา มีโชค มีลาภ ส่งเสริมบุญญาบารมี วาสนา มีความมั่นคงในชีวิต กิจการเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า มีความอดทนอดกลั้น ควรปลูกข้าง หรือหลังบ้าน แต่ห้ามปลูกบริเวณหน้าบ้าน เพราะเป็นบริเวณของปากมังกร
  • ราศีกุมภ์  (16 ก.พ.-15 มี.ค.)  ไม้มงคล คือ เฟื่องฟ้า และบอนไซ จะช่วยส่งเสริมพลังทางด้านความคิด กิจการก้าวหน้ามั่นคง ชีวิตเจริญรุ่งเรือง มีความสามารถในการปรับตัว อดทนต่ออุปสรรค ปัญหา และทำให้มีอายุยืนยาว
  • ราศีมีน  (16 มี.ค.–15 เม.ย.)  ไม้มงคล คือ กล้วยไม้ วาสนา และเฟื่องฟ้า  ช่วยให้มีอุปนิสัยเยือกเย็น อ่อนโยน เป็นที่ประทับใจต่อผู้พบเห็น คนในครอบครัวมีศีลธรรม มีชีวิตที่สดใส เบิกบาน รุ่งเรือง มีโชคลาภวาสนา
  • ราศีเมษ  (16 เม.ย.–15 พ.ค.) ไม้มงคล คือ ต้นมะยม มะขาม ช่วยให้มีความสำเร็จในชีวิต หน้าที่การงาน เป็นที่นับถือ เกรงขาม ผู้คนให้ความนิยมชมชอบ
  • ราศีพฤษภ  (16 พ.ค.–15 มิ.ย.) ไม้มงคล คือ ต้นโมก  ช่วยปกปักรักษาให้มีความปลอดภัย  ป้องกัน ขับไล่สิ่งไม่ดี ให้ออกไปจากชีวิต ทำให้มีความสุข สดใส  ควรปลูกในทิศตะวันตกเฉียงเหนือของบ้าน และปลูกในวันเสาร์
  • ราศีเมถุน  (16 มิ.ย.-15 ก.ค.) ไม้มงคล คือ ทับทิม โป๊ยเซียน กุหลาบ และโมก ช่วยให้ชีวิตมีความสงบ ร่มเย็น อยู่เย็นเป็นสุข ไม่มีอุปสรรคมากล้ำกลาย มีโชคลาภ
  • ราศีกรกฎ  (16 ก.ค.–15 ส.ค.) ไม้มงคล คือ ชมพู่ พลูด่าง กล้วยไม้ และวาสนา ทำให้มั่งมีทรัพย์สิน เงินทอง มีความสุข ความสมหวัง ครอบครัวร่มเย็น เป็นสุข  ชีวิตสดใส เบิกบาน
  • ราศีสิงห์  (16 ส.ค.–15 ก.ย.) ไม้มงคล คือ ขนุน จำปี โป๊ยเซียน กล้วยไม้  ช่วยให้มีคนสนับสนุน ให้ความอุปการะ  อุดหนุนจุนเจือ เสริมบุญบารมี การงาน กิจการสดใส รุ่งเรือง ก้าวหน้า ปราศจากปัญหาและอุปสรรค
  • ราศีกันย์  (16 ก.ย.–15 ต.ค.) ไม้มงคล คือ สนฉัตร ราชพฤกษ์ และต้นขนุน มีความสง่างาม มีเกียรติ มีศักดิ์ มีศรี บุญบารมี ผู้คนนับหน้าถือตา  ร่ำรวยเงินทอง
  • ราศีตุลย์ (16 ต.ค.–15 พ.ย.) ไม้มงคล คือ ต้นโกสน หมากแดง ปาล์ม ช่วยคุ้มครอง ป้องภัย ปกปักรักษา ให้อยู่ดีมีสุข ช่วยเสริมบารมี การงานก้าวหน้า มีความเจริญรุ่งเรือง
  • ราศีพิจิก (16 พ.ย.–15 ธ.ค.) ไม้มงคล คือ พวงแสด เบญจมาศ ว่านสี่ทิศ  ทำให้ชีวิตมีความสว่างไสว รุ่งเรือง เจริญก้าวหน้า มีความมั่นคง แคล้วคลาดปลอดภัย ผู้คนให้การสนับสนุน ช่วยเหลือ
  • ราศีธนู ( 16 ธ.ค.–15 ม.ค.) ไม้มงคล คือ บัว เฟิร์นข้าหลวง  แก้ว  ทำให้จิตใจบริสุทธ์ เบิกบาน คนในครอบครัวมีความรัก ความผูกพันกัน มีชื่อเสียงเกียรติยศ เป็นที่รักใคร่ ช่วยขจัดอุปสรรคปัญหาต่างๆให้ออกไปจากชีวิต
การจะทำให้ชีวิตมีความสุข สว่างไสว รุ่งเรืองนั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ใคร หรือสิ่งใดจะมาดลบันดาลให้กันได้ง่ายๆ ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับการใช้ชีวิต การกระทำของตัวเอง กระทำอย่างไร ได้ผลอย่างนั้น  อย่างพระพุทธศาสนสุภาษิตที่ว่า “กมฺมุนา วตฺตตีโลโก   สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม”

ที่มา : http://www.banidea.com/

20 ประโยชน์จากการดื่มกาแฟ


 คือเราก็เปิดร้านกาแฟอยู่แล้วเลยมาดูกันว่าประโยชน์ของกาแฟมีอะไรบาง

1.    ลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจในผู้หญิง 25%
งานวิจัยจาก มหาวิทยาลัยของสเปนพบว่า ผู้หญิงที่ดื่มกาแฟ 2 – 3 แก้วต่อวันมีอัตราเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจน้อยกว่าคนที่ไม่ได้ดื่มและผู้ชาย 25%
2.    ลดอัตราเสี่ยงของการเป็นเบาหวาน 60%
กาแฟมีสารต้านอนุมูลอิสระ และยังมีสารประกอบที่เรียกว่า ควินิน (Quinines) ที่ช่วยให้ร่างกายสามารถผลิตอินซูลินได้ดีขึ้น
3.    ลดอัตราการเกิดภาวะความจำเสื่อม 65%
จาก การวิจัยพบว่ากาแฟมีส่วนช่วยในการชะลอภาวะความจำเสื่อมโดยไปหยุดยั้งหรือ ต้านการจับตัวของคอเรสเตอรอล (Cholesterol) ที่เป็นผลเสียต่อร่างกาย
4.    ลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งในลำไส้ใหญ่ 50%
จาก การศึกษาถึง 12 ปีกับผู้หญิงในญี่ปุ่นพบว่าคนที่ดื่มกาแฟ 3 แก้วหรือมากกว่าต่อวันมีแนวโน้มในการลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งในลำ ไส้ใหญ่
5.    ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก
จากการ ศึกษากับผู้ชายจำนวน 50,000 คนเป็นเวลา 20 ปีพบว่าคนที่ดื่มกาแฟ 6 แก้วต่อวันจะมีอัตราเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมากน้อยกว่าคนที่ไม่ ได้ดื่ม
6.    ลดความเสี่ยงของการเป็นอัลไซเมอร์ (Alzheimer) 65%
จากการศึกษากับคนวัยกลางคนในประเทศฟินแลนด์จำนวน 1,400 พบว่าคนที่ดื่มกาแฟ 5 ถ้วยต่อวันสามารถลดอัตราเสี่ยงของการเป็นอัลไซเมอร์ 65%
7.    ลดความเสี่ยงของการเป็นตับแข็ง 80%
จาก การศึกษากับผู้ดื่มกาแฟจำนวน 125,000 คนพบว่าการดื่มกาแฟ 1 แก้วต่อวันทำให้ความเสี่ยงต่อการเป็นตับแข็งลดลง 20% ถ้าดื่ม 4 แก้วต่อวันจะลดอัตราเสี่ยงได้ 80%
8.    ลดความเสี่ยงของการเป็นนิ่วในถุงน้ำดี 50%
ผู้ชาย ที่ดื่มกาแฟอย่างน้อย 2 แก้วต่อวันมีแนวโน้มในการลดอัตราเสี่ยงของการเป็นนิ่วในถุงน้ำดี 40%, 25% สำหรับผู้หญิงที่ดื่มกาแฟในปริมาณที่เท่ากัน และ 45% สำหรับคนที่ดื่มมากกว่า 4 แก้วต่อวัน
9.    ลดความเสี่ยงของการเกิดการอุดตันในเส้นเลือดในผู้หญิง 43%
จาก การศึกษากับนางพยาบาลจำนวน 83,000 คนที่ไม่เคยสูบบุหรี่และดื่มกาแฟ 4 แก้วต่อวันสามารถลดความเสี่ยงของการเกิดการอุดตันในเส้นเลือด 43%
10.     ลดความเสี่ยงของการเกิดอาการสั่นของอวัยวะจากระบบปราสาท
11.     ลดอัตราเสี่ยงในการฆ่าตัวตายของผู้หญิง 60%
จากการศึกษาเป็นเวลา 10 ปีกับผู้หญิงจำนวน 86,000 คนพบว่าผู้หญิงที่ดื่มกาแฟ 2 แก้วต่อวันสามารถลดอัตราเสี่ยงในการฆ่าตัวตายของ 60%
12.     กาแฟมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ซึ่งสารต้านอนุมูลอิสระจะช่วยซ่อมแซมเซลต่างๆในร่างกายที่ถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ
13.     กาแฟช่วยให้เรารู้สึกไม่ง่วงและตื่นตัว
14.     กาแฟช่วยลดความรู้สึกหนาวได้เนื่องจากคาเฟอีน (caffeine)
15.     ลดการเกิดโรคหืด
16.     ลดอาการปวดหัว บ่อยครั้งที่คาเฟอีน (caffeine) ถูกใช้เป็นยาแก้ปวดหัวโดยเฉพาะอาการปวดหัวจากไมเกรน (migraine)
17.     บรรเทาอาการปวด การดื่มกาแฟ 2 แก้วอาจช่วยลดอาการปวดกล้ามเนื้อหลังจากการออกกำลังกายได้ประมาณ 58% ยาแก้ปวดหลายประเภทมีการผสมคาเฟอีน (caffeine) 65 mg เช่น aspirin, ibuprofen, acetaminophen และคาเฟอีน (caffeine) สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดได้ 40%
18.     ช่วยทำให้อารมณ์แจ่มใสขึ้น คาเฟอีน (caffeine) ที่ดื่มเข้าไปจะช่วยคลายความเครียดและทำให้อารมณ์แจ่มใสขึ้น
19.     ช่วยให้ความสามารถทางการกีฬาสูงขึ้น เพราะคาเฟอีน (caffeine) มีฤทธิ์ช่วยเพิ่มความทนทานและประสิทธิภาพของกล้ามเนื้อ
20.     ป้องกันฟันผุ สารประกอบที่มีชื่อว่า Trigonelline ซึ่งเป็นสารที่ทำให้กาแฟมีกลิ่นหอมและรสขม มีประสิทธิภาพช่วยป้องกันแบคทีเรีย และการก่อตัวของแบคทีเรีย โดยเหตุผลนี้กาแฟจึงช่วยป้องกันฟันผุได้
coffeebenefit-thumbถึง แม้ว่ากาแฟจะมีสารที่มีประโยชน์มากมายแต่สารประกอบบางอย่างที่อยู่ในกาแฟอาจ ส่งผลกับแต่ละคนต่างกัน ดังนั้นถ้าเกิดเรามีปัญหาท้องเสียกับการดื่มกาแฟ หรืออาการอื่นๆ ก็สามารถดื่มชาแทนได้

ที่มา :-coffeeandtealover.com,www.oknation.net

วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2555

ฮือๆๆๆ น้องแมวไม่สบาย



น้องแมวที่บ้านเพิ่งเอามาเลี้ยง
แล้วมันโดนกันอะนอนซมเลย
จะทำไงดีมีใครบอกได้บ้าง
ฮือๆๆๆๆ ช่วยด้วย
(ไม่อยากเอาภาพเจ้าแมวตอนนี้ลง)

13 เรื่องแมว ๆ ที่คุณอาจไม่(เคย)รู้ @ บุญโตเขาใหญ่





วันนี้น้องแมวที่ร้านไม่สบายโดนแมวใหญ่กัดมาเลยมาพูดถึงเรื่องน้องแมวกัน

          หลายคนที่เลี้ยงแมวคงจะคุ้นเคยกับอุปนิสัยซุกซนและขี้เล่นของเจ้าเหมียวทั้ง หลาย แต่คุณจะรู้ไหมนะว่า เจ้าเหมียวน้อยตาบ้องแบ๊วเหล่านี้ยังมีสิ่งที่คุณไม่รู้เกี่ยวกับตัวพวกมัน อีกแยะ บางคนที่เลี้ยงแมวมานานยังเกิดข้อสงสัยว่า เอ๊ะ! ทำไมมันทำแบบนั้น อ๊ะ! มันทำแบบนี้อีกล่ะ วันนี้เรามีเรื่องแมว ๆ ที่คุณอาจไม่(เคย)รู้ 13 ข้อมาบอกกล่าวผู้เลี้ยงแมวทั้งหลาย รวมทั้งมือใหม่ที่อยากจะเลี้ยงแมวด้วยค่ะ ว่าแต่จะมีอะไรบ้าง ไปดูพร้อมกันเลย

1. แมวจะไม่ทักทายกันโดยการสัมผัสทางจมูก

          สาเหตุที่แมวที่ไม่รู้จักกันจะไม่ทักทายกันด้วยการเอาจมูกมาสัมผัสกัน นั่นก็เพราะ จมูก เป็นอวัยวะที่ติดเชื้อง่ายที่สุด เว้นเสียแต่ว่า แมวที่คุ้นกันอยู่แล้วแต่มีเหตุต้องจากกันไปสักช่วงหนึ่ง เมื่อพวกมันกลับมาพบกัน มันก็จะเอาจมูกมาสัมผัสกัน เพื่อจะช่วยให้จำได้ อีกทั้งแมวตัวหนึ่งจะรู้ได้ว่า แมวที่หายไปนั้น ไปที่ไหน ไปทำอะไรมานั่นเอง

2. บางครั้งเสียงครางของแมวบ่งบอกว่ามันกำลังป่วย

          ส่วนใหญ่แล้ว เรามักได้ยินเสียงครางของแมว ตอนที่มันกำลังรู้สึกสบาย หรือพอใจกับอะไรบางอย่าง อย่างไรก็ตาม บางครั้งเสียงครางที่มากเกินไปก็บ่งบอกได้ว่า พวกมันกำลังบาดเจ็บอยู่นะ ถ้าคุณลองฟังดี ๆ คุณก็สามารถแยกเสียงได้ว่า ตอนไหนมันกำลังสบาย หรือตอนไหนมันกำลังบาดเจ็บอยู่

3. แมวเริ่มส่งเสียงครางเมื่ออายุได้ 1 สัปดาห์

          เจ้าเหมียวน้อยทั้งหลายจะเริ่มส่งเสียงครางได้ เมื่อมันอายุได้ 1 สัปดาห์ และถ้าเราลองฟังเสียงครางของพวกมัน เราจะรู้สึกได้ว่า มันครางสม่ำเสมอและเป็นจังหวะด้วย นั่นก็เพราะพวกมันสามารถส่งเสียงครางได้สองทาง คือ ทั้งขณะหายใจเข้า และหายใจออกนั่นเอง

4. เสียงครางของแมวบอกช่วงอายุได้

          แมวที่อายุยังน้อย จะครางได้เสียงเดียว ไม่มีเสียงสูง-เสียงต่ำ อะไรทั้งนั้น  ในขณะที่แมวอายุมากขึ้น จะสามารถครางได้หลายสุ้มเสียง เสียงทุ้มบ้าง แหลมบ้าง ก้องบ้าง แตกต่างกันไปตามอารมณ์ของมัน

5. เสียงครางของแมว เกิดขึ้นมาได้ยังไงนะ?

          จนถึงทุกวันนี้ นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่รู้แน่ชัดถึงที่มาของเสียงครางครืด ๆ ในลำคอของเจ้าเหมียวว่ามันมาจากอวัยวะส่วนไหน แม้ว่าบางคนจะเชื่อว่า มันเกิดขึ้นในระบบหัวใจและหลอดเลือด มากกว่าที่จะเกิดขึ้นในลำคอก็ตาม แต่ปัจจุบันก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้







6. แมวเลือกเสียงครางเวลาจะเล่นกับเจ้าของ

          เวลาที่เจ้าเหมียวอยากจะส่งเสียงครางออดอ้อน ออเซาะ คลอเคลียกับเจ้าของ มันจะใช้โทนเสียงแหลม ๆ เล็ก ๆ เหมือนกับมันยังเป็นลูกแมวอยู่ แต่ถ้าพวกมันเล่นกับแมวด้วยกันเอง มันจะใช้โทนเสียงผู้ใหญ่นี่แหละ เพราะไม่ต้องไปออดอ้อนใครล่ะมั้ง

7. ช็อกโกแลต ของอันตรายสำหรับแมว

          ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ชอบกินช็อกโกแลต ก็ขอให้เก็บช็อกโกแลตไว้ให้พ้นสายตาหรือจมูกของเจ้าเหมียวให้ดี เพราะช็อกโกแลตที่แสนอร่อยของเรานั้น กลับเป็นอันตรายต่อแมว เพราะเมื่อแมวกินช็อกโกแลตจะทำให้มันป่วยหรืออาจถึงขั้นเสียชีวิตได้

8. แมวชอบงีบมากกว่านอนยาว

          ถ้าใครที่เลี้ยงแมว คงจะรู้ว่า แมวนั้นขี้เซาจริง ๆ เล่นกันอยู่ซักประเดี๋ยว หันไปอีกที มันก็แวบไปหาที่นอน แต่ความจริงแล้ว มันไปงีบต่างหากล่ะ เพราะแมวชอบงีบมากกว่านอนหลับไปเลย แต่ถ้ามันไปนอนหลับจริง ๆ และหลับลึกพอแล้วล่ะก็ มันก็จะฝัน เพราะการฝันช่วยให้มันผ่อนคลายความรู้สึกตื่นเต้นหรือตกใจกับเหตุการณ์ที่ มันพบเจอมาในวันนั้นนั่นเอง

9. แมวไม่ชอบสบตาใคร

          พฤติกรรมอย่างหนึ่งของแมวที่คุณอาจจะยังไม่รู้ ก็คือ แมวจะกระพริบตาและหรี่ตาก็เมื่อมันต้องมีเหตุให้สบตาโดยไม่ได้ตั้งใจ อย่างเช่น เวลามันเจอแมวที่ไม่รู้จักกัน แต่บังเอิญหันมาสบตากันเป๊ะ มันก็จะหรี่ตาแล้วก็หันไปทางอื่น หรือแม้กระทั่ง ถ้าคุณลองจ้องตามัน มันก็จะกระพริบตา หรี่ตา และก็เบือนหน้าไปทางอื่น อ่ะ.. ถ้าไม่เชื่อ ก็ลองไปทำจ้องตามันดูนะ

10. จังหวะการเต้นของหัวใจน้องเหมียว

          โดยเฉลี่ยแล้ว อัตราการเต้นของหัวใจของแมวจะอยู่ที่ประมาณ 160-240 ครั้งต่อนาที แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับช่วงชีวิตของมันด้วย ซึ่งยิ่งมันมีอายุน้อยเท่าไหร่ อัตราการเต้นของหัวใจมันก็จะเร็วกว่าแมวที่มีอายุมากแล้ว

11. แมวไม่เข้าใจว่ามันกำลังถูกทำโทษ!

          บางทีเจ้าเหมียวที่คุณเลี้ยงน่ะ ก็ดื้อซะเหลือเกิน ฝนเล็บที่โซฟาตัวโปรดของคุณบ้างล่ะ วิ่งเล่นชนข้าวของกระจายบ้างล่ะ แต่ถึงแม้คุณจะตี จะทำโทษมันซักเท่าไหร่ มันก็ไม่เข้าใจหรอกนะ ดังนั้น ควรเปลี่ยนมาชมมันหรือให้รางวัลมันเวลามันทำตัวดี แทนการตีมัน น่าจะดีกว่านะ

12. เคี้ยวเนื้อดิบเสริมสร้างสุขภาพฟัน

          คุณรู้หรือไม่ว่า การให้เนื้อดิบ ๆ แก่เจ้าเหมียวไปแทะ ไปเคี้ยวเล่นทุกวัน เป็นการช่วยรักษาสุขภาพเหงือกและฟันให้อยู่ในสภาพดีเสมอนะจะบอกให้ เนื้อที่เหมาะแก่การเคี้ยวของเจ้าเหมียวนั้น ควรเป็นเนื้อสัตว์ปีก เนื้อวัว หรือเนื้อกระต่าย แต่อย่าลืมเอากระดูกออกให้หมดก่อนโยนให้มันล่ะ เพราะแมวไม่ใช่หมานะจ๊ะที่จะชอบแทะกระดูกน่ะ

13. แมวทนร้อนได้ดีจัง เพราะอะไรกันนะ?

          ถ้าคุณเคยตั้งข้อสงสัยว่า แมวของคุณทำไมถึงทนร้อนได้ดีเหลือเกิน โปรดจงรู้ไว้ว่า นั่นก็เพราะบรรพบรุษของแมวเมื่อครั้งก่อนนู้นเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ในทะเล ทรายมาโดยกำเนิดนั่นเอง

          เป็นอย่างไรกันบ้างคะ อ่านกันมาจนครบทั้ง 13 ข้อแล้ว คงจะพอช่วยให้คุณ ๆ ผู้เลี้ยงแมวทั้งหลายได้ทราบเรื่องราวของเจ้าเหมียวแสนซนได้มากขึ้น นอกจากตัวคุณเองจะแฮปปี้ขึ้นแล้ว เจ้าเหมียวก็คงแฮปปี้ขึ้นไม่น้อยที่เจ้าของเข้าใจมันมากขึ้นเช่นกันจ้า


 

วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2555

บุญโต เขาใหญ่ (Boonto Khao Yai)






ร้านบุญโต เขาใหญ่ Coffee 
อยู่ในร้านต้นไม้บุญโตนะจ๊ะ
ที่เห็นเป็นภาพเก่าแล้วแหละค่ะ





กำลังคิดสูตรๆ ใหม่อยู่ว่าจะทำอะไรดี
ตอนนี้มีวาฟเฟิล ธรรมดา 
วาฟเฟิล ชาเขียว
วาฟเฟิล ช็อกโกแล็ด
ถ้าสนใจ แวะมาทานได้นะค่ะ


โรคท้องอืด หรืออาหารไม่ย่อย (dyspepsia)

หลังจากเมื่อวาน
มีอาการท้องอืดจนนอนไม่หลับ
สภาพที่เห็นคือหน้ามืดลุกไม่ได้
ต้องนอนหรือนั่งอย่างเดียวห้ามลุก
ถ้าลุกจะมีอาการเดินเซ

มีอาการคลื่นไส้ ปวดหัว ปวดท้อง
หนาวๆ ร้อนๆ เหมือนจะไม่สบาย
อาการหน้ามืด กับ หนาวๆ ร้อนๆ
น่าจะมาจากนอนไม่พอ


ส่วนอาการท้องอื
หรืออาหารไม่ย่อยน่าจะ
เป็นอาการคลื่นไส้ ปวดท้อง
เบื่ออาหาร เรอทั้งวัน

โรคท้องอืด หรืออาหารไม่ย่อย
    โรคท้องอืด ท้องเฟ้อ หรืออาหารไม่ย่อย (dyspepsia) เป็นอีกโรคหนึ่งที่พบได้บ่อย
เป็นอาการผิดปกติของท้องหรือลำไส้ มักมีอาการบริเวณตรงกลางของท้องด้านบน อยู่ระหว่างใต้ลิ้นปี่และเหนือสะดือ

ตัวอย่างอาการของโรคท้องอืด ได้แก่ ท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด แน่นท้อง มีการบีบรัดของลำไส้

ท้องหลามตึงๆ อืดๆ มีลม หรือแก๊สในกระเพาะอาหาร เรอเหม็นเปรี้ยว และอาจมีอาการแสบร้อนบริเวณหน้าอกเหนือลิ้นปี่
 และบางรายอาจมีคลื่นไส้ อาเจียน อิ่มเร็วร่วมด้วยผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอาการร่วมกันก็ได้


    สาเหตุของโรคท้องอืด
    สาเหตุส่วนใหญ่ของโรคท้องอืดเกิดจากอาหารหรือพฤติกรรมการกิน เป็นสำคัญ
รองลงมาคือโรคของระบบทางเดินอาหาร ยาบางชนิด แอลกอฮอล์ กาเฟอีน บุหรี่ เป็นต้น

* โรคท้องอืดกับการกินอาหาร

    อาหารที่คนเรากินอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน และเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมของชาติ ถ้าไม่ถูกสุขลักษณะอนามัยที่ดี
ก็อาจทำให้เกิดอาการท้องอืดขึ้นได้ เริ่มตั้งแต่ชนิดของอาหาร
(เพราะอาหารบางชนิดทำให้ท้องอืด แต่บางชนิดก็ไม่ก่อให้เกิด) พฤติกรรมการกินอาหาร การกินลม เป็นต้น

    ชนิดของอาหาร
    “ชนิดของอาหาร” มีผลต่อท้องอืดโดยตรง เพราะอาหารบางชนิดก่อให้ท้องอืด ท้องเฟ้อ
ขณะที่อีกหลายชนิดไม่เป็นปัญหาท้องอืด ตัวอย่างอาหารที่ทำให้เกิดท้องอืด ได้แก่
* อาหารที่มีไขมันสูง เช่น แกงกะทิ ช็อกโกแลต เนย นม (โดยเฉพาะคนเอเชียที่ไม่เคยกินนมมานาน)
* อาหารรสจัด ไม่ว่าจะเปรี้ยวจัด หรือเผ็ดจัด
* อาหารที่ย่อยได้ยาก เช่น เนื้อสัตว์ กากใยอาหารบางชนิด



        * พฤติกรรม หรืออุปนิสัย ลักษณะการกินอาหาร

“พฤติกรรม หรืออุปนิสัย ลักษณะการกินอาหาร” ก็มีส่วนทำให้เกิดท้องอืดได้
เช่น เร่งรีบกินอาหาร เคี้ยวไม่ละเอียด กินอาหารผิดเวลา กินอาหารจนอิ่มมากเกินไป
หรือการล้มตัวลงนอนหลังจากกินอาหารเสร็จใหม่ๆ ล้วนเป็นลักษณะการกินอาหารที่ไม่ดี ทำให้เกิดท้องอืดได้

    การกินลม
    “การกินลม” (คนละความหมายของการนั่งรถ…กินลม…ชมวิว)
หมายถึงการกลืนลมเข้าไปทางปาก และ ไหลลงไปในท้อง ทำให้กระเพาะอาหารมีแก๊สจำนวนมากเกิดท้องอืดได้
    ตัวอย่างการกินหรือกลืนลม ได้แก่ การพูดมากๆ (ลมเข้าปาก) การเคี้ยวหมากฝรั่ง การดูดลูกอม
การดูดนม ของเหลว หรือน้ำผ่านหลอดเล็กๆ การดื่มน้ำจากขวดปากแคบ เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้กระเพาะอาหารมีลม หรือแก๊สมากขึ้นได้ทั้งสิ้น และ ทำให้ท้องอืดตามมาได้

        * ท้องอืดจากโรคของระบบทางเดินอาหาร
    โรคของระบบทางเดินอาหารหลายชนิดก็ทำให้เกิดอาการท้องอืด อาหารไม่ย่อย เช่น แผลกระเพาะอาหาร
กรดจากกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับเข้าไปในหลอดอาหาร (Gastro-esophageal Reflux Disease GERD)
กระเพาะอาหารอักเสบ มะเร็งกระเพาะอาหาร นิ่วถุงน้ำดี เป็นต้น

        * ท้องอืดจากยาบางชนิด แอลกอฮอล์ กาเฟอีน และบุหรี่
    ยาที่เป็นสาเหตุโรคท้องอืดพบได้บ่อย คือยาลดการอักเสบชนิดที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ หรือ เรียกตามชื่อย่อว่าเอ็นเสด
เป็นยาที่มีฤทธิ์แก้อักเสบชนิดที่ไม่มีการติดเชื้อซึ่งมักใช้บรรเทาอาการอักเสบข้อ อักเสบกล้ามเนื้อ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และไข้
ตัวอย่างยากลุ่มนี้ เช่น แอสไพริน ไดโคลฟีแนก ไพร็อกซีแคม นาโพรซิน อินโดเมทาซิน เป็นต้น
    ยากลุ่มนี้มีคุณสมบัติเป็นกรด ทำให้ระคายเคืองกระเพาะอาหาร มีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ
อาหารไม่ย่อยและถ้าใช้ยากลุ่มนี้ติดต่อกันนานๆ ก็อาจทำให้เกิดแผลกระเพาะอาหารได้ จึงขอบอกไว้ ณ ตอนนี้เลยว่า
ถ้าจำเป็นต้องใช้ยา กลุ่มนี้ ก็ควรกินหลังอาหารทันทีและใช้เมื่อจำเป็น หรือเมื่อมีอาการเท่านั้น
ถ้าอาการทุเลาลงมาก หรือหายดีแล้วก็ไม่แนะนำให้ใช้ติดต่อกันโดยไม่จำเป็น เพราะมีผลเสียรุนแรง

นอกจากยาที่ทำให้ท้องอืดได้แล้ว เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ น้ำอัดลม โซดา

เครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน (กาแฟ ชา) และบุหรี่ ก็ทำให้ท้องอืด และอาหารไม่ย่อยได้


        * การดูแลโรคท้องอืดเบื้องต้นด้วยตนเอง

    จากสาเหตุต่างๆ ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ถ้าพบต้นเหตุและสามารถขจัดหรือหลีกเลี่ยงเสียได้
อาการท้องอืดก็จะทุเลาหรือหายได้ ซึ่งมีวิธีการดูแลรักษาง่ายๆ ดังนี้


    1. การหลีกเลี่ยงสาเหตุ

    ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอาหาร ด้วยการรักษาสุขลักษณะ การกินอาหารที่ดี
เริ่มตั้งแต่การเลือกชนิดของอาหารที่ไม่มีปัญหาเรื่องท้องอืด อุปนิสัยการกินอาหาร และหลีกเลี่ยงการกินลม เช่น

* ควรหลีกเลี่ยงการกินอาหารผิดเวลา ด้วยการกินอาหารให้ตรงเวลา


* หลีกเลี่ยงการกินอาหารรสจืด มีไขมันสูงย่อยยาก มีกากใยมากๆ นม เนย และประเภทโปรตีนสูง


* หลีกเลี่ยงการ “รีบกิน” การรีบเร่งกินอาหารหรือเคี้ยวไม่ละเอียด

ด้วยการกินซ้ำๆ พร้อมทั้งเคี้ยวและคลุกเคล้าอาหารให้เข้ากันดี ก่อนกลืนอาหาร

* ไม่ควรกินอาหารจนอิ่มมากเกินไป ควรลดปริมาณอาหารแต่ละมื้อลง และแบ่งเป็นมื้อย่อยๆ แต่กินบ่อยๆ แทน


* หลังกินอาหารอิ่มใหม่ๆ ไม่ควรนอนราบทันทีเพราะ การนอนราบ

ส่งผลให้ระดับของกระเพาะอาหารและหลอดอาหารจะอยู่ในระนาบเดียวกันและอาจทำให้กรดไหลจาก
กระเพาะอาหารย้อนกลับเข้าสู่หลอดอาหารได้ เกิดการระคายเคือง และหลอดอาหารอักเสบได้

* หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เหล้า เบียร์ น้ำอัดลม โซดา เครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน (กาแฟ ชา) และ

“การกินหรือกลืนลมลงท้อง” เช่น การพูดมากๆ การกลืนน้ำลายบ่อยๆ การเคี้ยวหมากฝรั่ง การดูดลูกอมหรือ
อมยิ้ม การดูดนม ของเหลว หรือน้ำผ่านหลอด การดื่มน้ำจากขวดปากแคบ ด้วยการดื่มน้ำจากแก้วแทนการใช้หลอดดูด

* หลีกเลี่ยงการใช้ยากลุ่ม NSAIDs (เอ็นเสด) ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ ถ้าจำเป็นต้องใช้ยากลุ่มนี้ควรปรึกษาแพทย์


นอกจากนี้ควรรักษาสุขภาวะที่ดี ด้วยการออกกำลังกาย ผ่อนคลายความตึงเครียด และพักผ่อนให้เพียงพอ


    2. ยาขับลม แก้ท้องอืด
ยาที่ใช้รักษาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ มีมากมาย เช่น ยาธาตุน้ำแดง ยาธาตุน้ำขาว ยาขับลม ไดเมทิโคน ไซเมทิโคน ก๊าสเนป
ยาลดกรด โซดามิ้นต์ เมโทรโคล พาไมด์ ดอมเพอริโดน เป็นต้น ยาเหล่านี้จะช่วยบรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย ได้ผลดี

    3. สมุนไพรไทย
    สมุนไพรหลายชนิด ซึ่งรวมถึง “ยาหอม” จะช่วยบรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ได้ผลดี เช่น
ขิง น้ำขิง ขมิ้นชัน การพลู ชะพลู พริกไทย กะเพรา ดีปลี กระเทียม เปล้าน้อย ลูกกระวาน เกล็ดสะระแหน่ เป็นต้น


        * ท้องอืดร่วมกับอาการผิดปกติอื่นๆ
    ถ้าอาการท้องอืดไม่รุนแรง อาการทุเลา หายได้ด้วยเอง หรือจากการดูแลรักษาทั้ง 3 ประการคือ
ปรับอาหารการกิน ยา ยาหอม หรือสมุนไพรที่มีฤทธิ์ขับลม แก้ท้องอืด ก็คงไม่เป็นปัญหา
    รายที่มีอาการผิดปกติอื่นร่วมด้วย เช่น มีอาการติดต่อกันนานๆ น้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็ว ซีด อุจจาระดำ อาเจียน
กลืนอาหารไม่ได้ ตัวเหลือง ตาเหลือง การถ่ายอุจจาระผิดปกติ เหลว หรือแข็งเกินไป ท้องผูกหรือท้องเสียเป็นประจำ
มีอาการปวดร้าวและรุนแรงไปด้านหลัง ปวดบริเวณชายโครงด้านขวาหรือผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไปที่เพิ่งเริ่มมีอาการ
    ถ้ามีอาการเข้าข่ายตามนี้ ควรไปปรึกษาแพทย์เพราะอาจมีโรคอื่นๆ ในช่องท้องอีกหลายโรค นอกเหนือจากท้องอืด
ท้องเฟ้อ ที่จะต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างเหมาะสมและทันเวลา มิฉะนั้นอาจเกิดอันตรายได้
เพราะอาการรุนแรงผิดปกติเหล่านี้อาจเป็นอาการเริ่มต้นของโรคผิดปกติของระบบทางเดินอาหารได้
เช่น แผลกระเพาะอาหาร นิ่วถุงน้ำดี มะเร็งกระเพาะอาหาร โรคลำไส้แปรปรวน เป็นต้น.


     ที่มา.. นิตยสารหมอชาวบ้านปีที่ 28 ฉบับที่ 334 กุมภาพันธ์ 2550
     ที่มา:  สุขกายสบายใจ

ทานผักผลไม้เยอะๆๆเพื่อสุขภาพนะค่ะ

วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2555

การไม่มีโรคเป็นลาบอันประเสริฐ

ภาพประกอบ



เซ็งอะเป้นไข้ก็ยังมะได้พัก
ช่วงนี้ดูแลตัวเองกันบ้างนะค่ะ
ฝนตกบ่อยระวังจะเป็นไข้
เพราะตอนนี้ฉันเป็นไข้
บวกกับพักผ่อนไม่เพียงพอ

วันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2555

การจราจรอดีตกาลกับปัจจุบัน

ตลาดหัวรอ (olden Hua Ro Market)


จากภาพซ้ายมือ เป็นตลาดหัวรอ
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ครั้งอดีตกาล
การจราจรทางน้ำเป็นหลัก

ในภาพมีการฉลองการเปิด
สถานพยาบาลครั้ง รัชกาลที่ ๕
ทำให้มีผู้คนเข้ามากันมากมาย


กรุงเทพ (Bangkok)



 การจราจรในปัจจุบัน
การเดินทางใช้รถเป็นส่วนใหญ่
และรถติดมากๆๆๆๆๆๆ
ตลาดหัวรอปัจจุบัน (Hua Ro Market)

วันพุธที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2555

ลอยกะทง

 ลอยกระทงปีที่แล้วที่ผ่านมา
ไปลอยที่ตลาดน้ำปากช่อง
กว่าจะทำกระทงเสร็จ
ทำอยู่ครึ่งวัน

กระทงทำจากใบ กนกลาย สวยมาก


ปีนี้ว่าจะลอยสะที่หลังบ้าน
เพราะมีน้ำที่ไหลจากเขาใหญ่
ไหลผ่าน


แต่ไม่ใช่คลองเขาใหญ่จะ
อันนี้คลองเล็ก ๆ แต่พองามจ๊ะ

แต่เวลาฝนตกหนัก ๆ 
น้ำป่ามันแรงมาก
ต้องทำใจมันจะขึ้นมา
เกือบถึงบ้านแนะ
แต่ชอบนะเป็นธรรมชาติดี
ช่วงนี้ฝนตกหนักระหว่างสุขภาพกันด้วยนะค่ะ ติดร่มเวลาไปไหนมาไหนจะดีค่ะ