หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

โรคอ้วน Metabolic Syndrome




ในสภาวะของสังคมปัจจุบัน ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพกันมาก โรคหนึ่งเป็นภาวะจากความสมบูรณ์ที่เกินไป เดิมเคยเรียกว่า โรคคนรวย แต่ยุคนี้ไม่จำเป็นแล้ว โรคความอ้วน จากความเชื่อเดิมที่คิดกันว่าคนเราอยู่ดีกินดีมีความสุข สุขภาพดี ร่างกายจะต้องอ้วนท้วนสมบูรณ์ แต่เมื่อองค์ความรู้ต่อเติมงอกงามขึ้น จนรู้ว่า ความสมบูรณ์นั้นกลับกลายเป็นแหล่งรวมโรคนานาชนิดที่ร้ายแรง

โรคอ้วนอย่างเดียวก็กระชากความมั่นใจของคนนั้นไปแทบหมดสิ้น อีกทั้งต้องเผชิญกับโรคร้ายที่จ่อคิวตามมา เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง เหนื่อยง่าย อุ้ยอ้าย เครียดง่าย เหล่านี้เป็นสิ่งที่เมื่อคุณอ้วนจะต้องพบพานไม่ช้าก็เร็ว
เมื่อความรู้ปรากฏ คนก็ กลัว ความอ้วน แต่กลัวเป็นแฟชั่น ไม่ได้กลัวที่จะรักษาอย่างตั้งใจจริง ปัจจุบัน จึงได้เกิดสินค้าลด รักษา ความอ้วนกันอย่างมากมาย

ด้วยการรักษาหลากหลายวิธี ทั้งยาลดความอ้วน ที่กินมากจนประสาทหลอนกันไป อาหารเสริม อาหารคุมน้ำหนัก อาหารละลายไขมัน ธัญพืช สมุนไพรลดไขมัน ครีมนวดลดไขมัน จนกระทั่งก้าวไปถึงการแพทย์ ทั้งเครื่องสลายไขมัน ดูดไขมัน ตัดไขมัน หรือ กระทั่งสินค้าที่โฆษณาเกินจริง เช่น แหวนลดน้ำหนัก เข็มขัดลดน้ำหนัก ล้วนแต่อวดอ้างสรรพคุณเกินจริง เพื่อหวังผลทางการตลาด
แต่การรักษาที่ได้ผลจริงแท้แน่นอนก็คือ กินพอดี ออกกำลังกายให้พอ จิตใจต้องเข้มแข็งในการต่อสู้ ไม่ต้องไปหายาเทวดาสั่งที่ไหนกินก็หายได้ ง่าย ถูก แต่ไม่ชอบ เสียเงินสบายใจกว่ากันเยอะเลย
โรคอ้วน คือ อะไร ?
ในที่นี้ หมายถึง ความอ้วนที่มากเกินไป มีน้ำหนักตัวมากกว่าที่ควรจะเป็น ไม่ใช่อ้วนกำลังดี อ้วนพองามหรือกำลังสวย คำว่า อ้วน ตามความหมายของพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน หมายถึง มีเนื้อและไขมันมาก โต อวบ ซึ่งเป็นความหมายที่ไม่น่าปรารถนาของคนทั่วๆ ไป


จะเห็นว่าสาเหตุแห่งความอ้วนนั้นไม่มีอะไรมาก เพราะไขมันเข้าไปอยู่ในตัวเกินความจำเป็น จากที่แก้ไขยาก อ้วนเพราะเจ็บป่วยบางโรค และยาบางชนิด แต่คนอ้วนจำนวนมากในโลก ไม่ว่าจะหญิงหรือชาย วัยรุ่นหรือสูงวัย ต่างอ้วนเพราะตัวเองไม่คุมจิตใจ ตามใจปาก อยากกินดะ ปล่อยเนื้อปล่อยตัว ไม่ออกกำลังกาย นั่งๆ นอนๆ เที่ยว เล่น กิน แล้วก็เป็นบังอรเอาแต่นอน สุดท้ายโรคอ้วนก็พาเพื่อนตามมา ทั้ง เบาหวาน หัวใจ ความดันโลหิตสูง ฯลฯ ล้วนแต่เป็นเพื่อนร่วมโลก (โรค) ที่ร้ายๆ ทั้งนั้น พร้อมจะคร่าชีวิตได้ทุกเมื่อ หรือถ้าไม่ตาย เมื่อเป็นโรคเหล่านี้ก็ต้องดูแลรักษากันไปตลอดชีวิต
วันนี้ไม่สาย ที่จะรักตัวเอง



1. เกิดจากสาเหตุภายนอก เป็นสาเหตุใหญ่ที่เกิดโรคอ้วน เพราะตามใจปากมากเกินไป กินมากเกินความต้องการของร่างกาย อาหารที่กิน เนื้อ ไขมัน หรือแป้ง ของหวาน สิ่งเหล่านี้จะถูกเก็บสะสมไว้ในร่างกาย ถ้ามีมากเกินไปก็จะกลายเป็นไขมันพอกพูนตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ออกกำลังกายน้อย กินแล้วนอน

      1. นิสัยในการรับประทาน คนที่มีนิสัยการรับประทานที่ไม่ดี เรียกว่า กินจุบกินจิบไม่เป็นเวลา
      2. ขาดการออกกำลังกาย ถ้ารับประทานอาหารมากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ แต่ได้ออกกำลังกายบ้างก็อาจทำให้อ้วนช้า             ลง แต่หลายคนไม่ได้ยืดเส้นยืดสาย ไม่ช้าจะเกิดการสะสมเป็นไขมันในร่างกาย

2. มาจากสาเหตุภายใน พบได้จากความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ เช่น ต่อมใต้สมอง ต่อไทรอยด์ ทำให้มีไขมันตามบริเวณต้นแขน ต้นขา และหน้าท้อง

      1. จิตใจและอารมณ์ มีคนเป็นจำนวนไม่น้อยที่การกินอาหารขึ้นอยู่กับจิตใจและอารมณ์ เช่น กินดับความโกรธ ดับความคับ             แค้นใจ กลุ้มใจ กังวลใจ หรือดีใจ บุคคลเหล่านี้ จะรู้สึกว่าอาหารที่ทำให้จิตใจสงบ จึงหันมายึดเอาอาหารไว้เป็นที่พึ่งทาง           ใจ ตรงกันขามกับบางคนกลุ้มใจเสียใจก็กินไม่ได้ นอนไม่หลับ
      2. ความไม่สมดุลระหว่างความรู้สึกอิ่มกับความหิว เมื่อใดที่ความอยากเพิ่มขึ้น เมื่อนั้นการกินก็จะเพิ่มมากขึ้น ซึ่งถึงขั้นเรียก           ว่า กินจุ ในที่สุดก็อ้วนเอาๆ

3. เพราะกรรมพันธุ์ ซึ่งพบได้น้อย กรรมพันธุ์นี้พิสูจน์ไม่ได้ แต่ถ้าพ่อและแม่อ้วนทั้งสองคน ลูกจะมีโอกาสอ้วนได้ถึงร้อยละ 80 ถ้าพ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่งอ้วน ลูกมีโอกาสอ้วนได้ถึงร้อยละ 40
4. โรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันสูง
5. จากการกินยาบางชนิด ก็ส่งผลกระทบให้อ้วน ผู้ป่วยบางโรคได้รับฮอร์โมนสเตียรอยด์เป็นเวลานาน ก็ทำให้อ้วนได้ และในผู้หญิงที่ฉีดยาหรือกินยาคุมกำเนิดก็ทำให้อ้วนง่ายเช่นกัน
6. เพศ เพศหญิงนั้นมักอ้วนกว่าเพศชาย ก็ธรรมชาติเธอมักสรรหาจะกิน กิน และกิน ตลอดเวลา อีกทั้งตอนตั้งครรภ์ ก็ต้องกินมากขึ้น เพื่อบำรุงร่างกายและลูกน้อยในครรภ์ แต่หลังจากคลอดลูกแล้ว บางรายก็ลดน้ำหนักลงมาได้ แต่บางรายก็ลดไม่ได้ ผู้หญิงทำงานน้อย ออกกำลังน้อยกว่าชาย ผู้หญิงอ้วนมากกว่าผู้ชาย 4 : 1


อายุ เมื่อมากขึ้น โอกาสโรคอ้วนถามหาก็ง่ายขึ้น เนื่องจากพออายุมาก มีความเชื่องช้า ใช้พลังงานน้อยลง กินมากกว่าใช้ หญิงและชายที่มีอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป มักจะอ้วนง่าย เพราะคนวัยนี้ ยังอยู่ในวัยทำงานมาก กินมากขึ้นเพื่อชดเชยกำลังงานที่ถูกใช้ไป คนมีสุขภาพจิตดีมักมีรูปร่างสมส่วนแข็งแรง บางคนสุขภาพจิตไม่ดี อารมณ์เครียดเป็นประจำ ทำให้เกิดความท้อถอย เบื่อหน่าย ขี้เกียจออกกำลัง โรคอ้วนก็จะถามหา

แหล่งข้อมูล : นิตยสาร Alternative Medicine


การมีพุงนั้นสำคัญไฉน
           ความอ้วน นอกจากทำให้สวยน้อยลงแล้ว ยังเป็นสาเหตุของสารพัดโรค ยิ่งอ้วนก็ยิ่งมีโรคได้หลายอย่างมากขึ้น ที่ผ่านมาเรารู้จักแต่คำว่า ดัชนีมวลกาย (BMI) ซึ่งเป็นตัวชี้บ่งว่าอ้วน  หากมี BMI ตั้งแต่ 25 กก./ม2 ขึ้นไป แต่ในระยะหลังพบว่าความเสี่ยงต่อโรคมีมาก  โดยเฉพาะผู้ที่มีลักษณะอ้วนลงพุง คือ จะมีสะโพกเล็ก ไหล่กว้าง และลงพุง ซึ่งเป็นลักษณะอ้วนที่อันตรายที่สุด หรืออาจกล่าวได้ว่าคนอ้วนสองคน ที่มีน้ำหนักตัวมากเท่ากัน คนอ้วนที่ลงพุงมากจะเกิดโรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจ และหลอดเลือดได้มากกว่าคนอ้วนที่สะโพกใหญ่
           อ้วนลงพุง เป็นภาวะที่มีไขมันสะสมในบริเวณช่องท้องมากกว่าปกติ ในขณะเดียวกันก็สะสมในอวัยวะที่สำคัญ และอันตรายได้ง่ายด้วย
           จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขในช่วง 5-6 ปีมานี้ พบว่าคนไทยอายุ 35 ปีขึ้นไป มีปัญหาการลงพุงเกือบร้อยละ 30 หรือประมาณ 12 ล้านคน หรืออาจกล่าวได้ว่า ในคนไทย 3 คนจะพบคนอ้วนลงพุง 1 คน หากถูกจัดเข้ากลุ่มอ้วนลงพุงแล้ว จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วนลงพุง หรือ ภาษาอังกฤษ เรียกว่า เมตาบอลิคซินโดรม (Metabolic Syndrome) จากการศึกษาในโรงพยาบาลรามาธิบดี โดยการวัดสัดส่วนของร่างกายร่วมกับตรวจผลเลือด พบว่า คนที่มีดัชนีมวลกายอยู่ในช่วง 23.0-24.9 กิโลกรัม/เมตร2 ซึ่งจัดอยู่ในเกณฑ์ท้วม หรือเริ่มอ้วน [ค่าดัชนีมวลกาย = น้ำหนัก(กิโลกรัม)/ส่วนสูง(เมตร)/ส่วนสูง(เมตร)]  จะมีคนอ้วนลงพุงประมาณครึ่งหนึ่ง และครึ่งหนึ่งในคนจำนวนนี้จะมีผลเลือดผิดปกติเข้าได้กับเป็นโรคอ้วนลงพุง หรืออาจกล่าวโดยคร่าวๆว่าคนที่ดูท้วมๆก็มีโอกาสเป็นโรคอ้วนลงพุงได้ร้อยละ 25 และเมื่อดัชนีมวลกายมากขึ้นไปอีก ก็จะมีโอกาสเป็นโรคอ้วนลงพุงเพิ่มขึ้นอีก และอาจมากถึงประมาณร้อยละ 50 
ลงพุงแล้วเมื่อไหร่จึงเป็นโรคอ้วนลงพุง
           เมื่อพบมีเส้นรอบเอวมากกว่า 90 เซนติเมตร หรือ 36 นิ้ว ในชาย และเส้นรอบเอวมากกว่า 80 เซนติเมตร หรือ 32 นิ้วในหญิงแล้ว พร้อมกับพบปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ อีกตั้งแต่ 2  อย่างขึ้นไปใน 4  อย่างต่อไปนี้ ก็จัดได้ว่าคุณเป็นโรคอ้วนลงพุง แล้ว
ปัจจัยเสี่ยง 4  อย่าง ได้แก่
           1.    ความดันโลหิต ตั้งแต่ 130/85 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไป           2.    ระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือดมากกว่า 150 มิลลิกรัม/เดซิลิตร (Triglyceride > 150 mg/dL)           3.    ระดับน้ำตาลในเลือดมากกว่า 100 มิลลิกรัม/เดซิลิตร (Fasting Plasma Glucose  > 100 mg/dL)           4.    ระดับโคเลสเตอรอลชนิดดีในเลือด หรือ High Density Lipoprotein (HDL-cholesterol) น้อยกว่า 40  มิลลิกรัม/เดซิลิตร สำหรับผู้ชาย และน้อยน้อยกว่า 50 มิลลิกรัม/เดซิลิตร สำหรับผู้หญิง
สาเหตุของโรคอ้วนลงพุงเกิดจากอะไร
           แม้ว่ากรรมพันธุ์เป็นสาเหตุหนึ่ง  แต่ผลจากการศึกษาพบว่า  ปัญหาส่วนใหญ่มักเกิดจากรูปแบบการใช้ชีวิตและพฤติกรรมการบริโภคที่คล้ายคลึงกัน คือชอบรับประทานอาหารที่มากเกินความจำเป็นโดยเฉพาะอาหารหวานมัน  น้ำหวานในรูปต่างๆ หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายแม้เพียงการเคลื่อนไหวตามปกติที่นานหน่อย
ทุกข์จากโรคอ้วนลงพุง
           นอกจากจะต้องแบกรับความทุกข์ที่เกิดจากความอ้วน เช่น ข้อกระดูกเสื่อม การหายใจไม่อิ่ม ทำให้ง่วงซึม หายใจไม่เต็มปอด เหมือนคนอ้วนแบบอื่นแล้ว  คนที่เป็นโรคอ้วนลงพุงยังมีโอกาสสูงมากๆ ที่จะเป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจ ภาวะหัวใจวาย หรือโรคหลอดเลือดสมองอุดตัน ซึ่งรุนแรงถึงขั้นทำให้เป็นอัมพาต หรือเสียชีวิตได้มากกว่าคนอ้วนชนิดไม่ลงพุงเป็นเท่าทวี
วิธีใดบ้างที่ช่วยป้องกัน/บรรเทาโรคอ้วนลงพุง
           มีการศึกษาพบว่าการลดน้ำหนักตัวลงไปเพียง 5-10 เปอร์เซ็นต์ จากน้ำหนักที่เป็นอยู่ ก็สามารถช่วยให้การทำงานต่างๆ ของร่างกายดีขึ้นได้ ลดโอกาสเป็นเบาหวานได้เกือบครึ่ง ลดไขมัน และความดันโลหิตสูง ฯลฯ ทำได้โดย
           1.    ออกกำลังกายบ้าง ประมาณวันละ 30 นาทีขึ้นไป 3 ครั้ง/สัปดาห์ หรือทำกิจกรรมที่มีการเคลื่อนไหวของร่างกายอย่างกระฉับกระเฉง เช่น เดินอย่างประฉับกระเฉง  วันละหนึ่งหมื่นก้าว หรือทำกิจกรรมเคลื่อนไหวกล้ามเนื้ออย่างต่อเนื่อง  ตามสมรรถภาพร่างกายของแต่ละคนก็จะได้ผลดีกว่าการนั่งเฉยๆ
           2.    จำกัดปริมาณแอลกอฮอล์ที่ดื่ม ไม่ให้เกินวันละ 1 ส่วน เช่น ไม่ควรดื่มเกินวันละ 1 แก้ว สำหรับผู้หญิง หรือ 2 แก้วสำหรับผู้ชาย และไม่ควรดื่มทุกวัน เพราะโอกาสดื่มเกินมีมากกว่าโอกาสขาดแคลนการดื่ม
           3.    ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทานอาหารอย่างถูกต้อง และจริงจัง เช่น ลดการทานอาหารมีกากใยน้อย เช่น  ข้าวขาว ขนมปังขาว น้ำตาล และน้ำผลไม้ และเครื่องดื่มหวานๆ อีกหลายชนิด แต่เพิ่มการทานอาหารที่มีปริมาณกากใยมาก เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท ผลไม้ที่ไม่หวานจัด  อาหารจำพวกถั่วเป็นของดีมีกากใยมาก แต่ก็ให้พลังงานมาก ถ้ากินมากเกินไป อาหารจำพวกผักเป็นสิ่งที่บริโภคได้มากโดยไม่จำกัด ลดการทานอาหารประเภททอด ที่ต้องใช้น้ำมันมากๆ ควรเลือกทานอาหารประเภทนึ่ง หรือต้ม หรือย่าง หลีกเลี่ยงการปรุงรสเพิ่ม แต่ใช้ความหวานตามธรรมชาติ หากจำเป็นสามารถใช้น้ำตาลเทียมช่วยได้ เพราะผู้ป่วยเบาหวานก็ใช้อยู่เป็นประจำ
แหล่งที่มี วิชาการ.คอม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น